พระพิราพปาฏิหาริย์บันดาลทรัพย์

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กะลาตาเดียว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กะลาตาเดียว แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระพิราพ โดย ศักดิ์ ศรีธรรมมา

พระพิราพ โดย ศักดิ์ ศรีธรรมมา
 พระพิราพ โดย ศักดิ์ ศรีธรรมมา
พระพิราพ โดย ศักดิ์ ศรีธรรมมา 
 พระพิราพ โดย ศักดิ์ ศรีธรรมมา
พระพิราพ โดย ศักดิ์ ศรีธรรมมา

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระสิวลีและพระสังกัจจายน์แกะกะลามหาอุต, กะลาตาบอด

พระสิวลีแกะกะลามหาอุต, กะลาตาบอด

เป็นตอนต่อจากบทความที่แล้วครับ

ไม่รู้จะแกะยังไงก็เลยแกะไป คิดแบบไปพลาง

มาลงเอย...ก็ที่เห็นนะครับ

เป็นรูปพระสิวลีนั่งถือบาตร

มีย่ามที่แขวนอยู่กับไม้เท้าหัวพระยานาค

เขียนอักขระคำว่า นะ ชา ลี ติ


พระสิวลีแกะกะลามหาอุต, กะลาตาบอด
ส่วนอีกมือหนึ่งจะถือกลด อันเป็นเครื่องหมายของการเดินธุดงค์



พระสิวลีแกะกะลามหาอุต, กะลาตาบอด
งานแกะกะลาของผมทุกอันสังเกตุดูดีๆ

โดยรอบชิ้นงานผมมักจะทำรัศมีไว้แทบทั้งนั้น
ดังนั้นผิวของเนื้องานจึงไม่ค่อยเรียบ

และยังทำให้เก็บผงกะลาไว้สำหรับสร้างงานอื่นได้ง่ายอีกด้วย

พระสังกัจจายน์แกะกะลามหาอุต, กะลาตาบอด
อีกด้านหนึ่ง จะเป็น พระสังกัจจายน์นั่งปิดพุง


พระสังกัจจายน์แกะกะลามหาอุต, กะลาตาบอด
จริงๆแล้วพระสังกัจจายน์นั่งปิดพุง เปิดพุง หงายมือ หรือถือถุงเงินถุงทอง

มีคติการสร้างอย่างไรนั้นจนปัญญาที่จะรู้ได้ครับ
ด้วยเหตุที่ไม่รู้ ก็เลยเอาแบบที่

ท่านโบราณจารย์ได้สร้างเอาไว้เป็นแบบแผน
หลังจากนี้อีกไม่กี่วันก็คงนำส่งคืนท่านเจ้าของ

หลังจากอยู่กับผมมาก็เกือบ 2 เดือนแต่แกะจริงก็ไม่กี่วัน

แกะวันละนิดวันละหน่อยค่อยๆทำจนเสร็จ

ส่วนสีกะลาที่เข้มขึ้นนั้นเกิดจากทาด้วยน้ำมันจันทร์ครับ

กลิ่นหอมดี

................

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กะลาตาบอด, กะลาตาเดียว

กะลาตาบอด,กะลามหาอุต,กะลาตาเดียว

เมื่อไม่นานมานี้ได้ของเล่นมาใหม่

เป็นกะลาไม่มีตาหรือกะลาตาบอดครับ

ในภาพผมวางไว้คู่กันกับกะลาตาเดียว

เป็นของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งในจังหวัดนครปฐม

บังเอิญท่านเห็นลูกที่ผมเคยแกะเมื่อคราวที่แล้วในบทความก่อนหน้านี้

ท่านชอบพระสังกัจจายน์และพระสีวลี

ก็เลยบอกว่า งั้นเอาไปแกะให้หน่อย

ก็รีบรับปากทันทีครับ แต่บอกทางอาจารย์ไปว่า

นานนะครับ และอาจนานมากด้วย

ท่านก็ไม่ว่าอะไร

กะลาตาบอด,กะลามหาอุต,กะลาตาเดียว
ที่นี้ก็มีปัญหาว่า แล้ว อักขระเลขยันต์รอบกะลานี้จะทำไง
อาจารย์ก็บอกว่าไม่เป็นไรอนุญาตแล้ว



กะลาตาบอด,กะลามหาอุต,กะลาตาเดียว
ระหว่างนี้ก็ขัดผิวและเริ่มลงสิ่วไปบ้างแล้ว

แถมยังเก็บผงกะลาที่แกะออกมาไว้อีกจำนวนหนึ่ง


กะลาตาบอด,กะลามหาอุต,กะลาตาเดียว
ผงกะลาที่ว่านั้นก็จะเก็บไว้ทำของไว้ใช้ส่วนตัว

เพราะมีโครงการจะสร้างพระราหูอุ้มดวง-หนุนดวง

อีกซักรุ่นเร็วๆนี้ครับ

กะลาตาบอด,กะลามหาอุต,กะลาตาเดียว
คงอีกไม่นานนะครับคงได้เห็นอันที่แกะเสร็จแล้วแบบเต็มใบ

งานนี้ใช้ความไว้วางใจและเชื่อใจกันนะครับ

ระหว่างผู้ให้ทำและผู้รับทำ

ถ้าหากของหาย ตกแตก หรือทำออกมาไม่เข้าตาเจ้าของ

คนซวยก็คือผมเอง

งานนี้จัดอยู่ในประเภท

ไม่จ้างก็จะทำ

ครับ

อาศัยความอยากนำหน้า

..........

เรื่องอื่นๆก็ดูจากรายการด้านขวามือนะครับ

สำหรับวันนี้สว้สดี.......

.........


วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

กะลาตาเดียว

กะลาตาเดียวแกะพระราหูอมพระอาทิตย์
หลังจากส่งงานแกะโฟมรูปพระปรางค์วัดอรุณฯไปแล้ว
ก็เป็นช่วงที่อยากจะทำงานบางชิ้นบางอันที่ตั้งใจไว้ให้เสร็จ
ก็ไปได้ชิ้นส่วนของกะลาตาเดียวมาชิ้นหนึ่ง
ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะแกะเฉพาะยันตร์หน้าและยันตร์หล้ง
อย่างละอัน
ทำไปทำมาก็ยังอยากจะได้รูปพระราหูอยู่ดี
ก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ

กะลาตาเดียวแกะพระราหูอมพระอาทิตย์
ส่วนด้านหลังของกะลาตาเดียวนั้นก็ลงยันตร์สุริยะประภาเหมือนกัน
แล้วทีนี้จะรู้ได้ไงว่า อันไหน
พระราหูอมจันทร์,พระราหูอมพระอาทิตย์
ก็ลองดูรูปข้างล่างนะครับ
รูปพระราหูอมจันทร์,พระราหูอมพระอาทิตย์
ที่ดัดแปลงมาเป็นพระราหูอุ้มดวง,พระราหูหนุนดวง ฯลฯ
แล้วแต่จะเรียก โดยดูที่มือของพระราหู
จะมีลักษณะ อุ้มหรือประคองไว้

พระราหูอุ้มดวง,พระราหูหนุนดวง
เนื่องจากกะลาลูกนี้เป็นกะลาตาเดียวตัวเมีย
มี 3 ซีก
ดังนั้นด้านนี้จึงลงเป็นยันตร์จันทรประภา

และอีกด้านนี้ ก็เป็นยันตร์สุริยะประภา
ทีนี้ความแตกต่างของยันตร์ทั้งสองเมื่อเทียบกันดูก็คงรู้แล้วนะครับ
ว่าอันไหนเป็น พระราหูอมจันทร์,พระราหูอมพระอาทิตย์
.................
ส่วนสีของกะลาตาเดียวลูกนี้จะต่างจากลูก
ที่ผมเคยนำลงไว้ในบทความที่ผ่านๆมา
ที่บางลูกก็สีน้ำตาลแดง
บางลูกก็สีดำสนิท
แล้วทำไมลูกนี้สีจึงขาวนวล
หรือจะเป็นกะลาตาเดียวเผือก...........
.........กะลาเผือกตาเดียว........
ก็แล้วแต่จะเรียกครับ

...............



วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กะลาตาเดียว

กะลาตาเดียวลูกที่ 3
มันเป็นเรื่องของจังหวะที่ค่อนข้างจะขบกันนิดๆ
มันมีเวลาอยู่นิดนึงถ้าจะทำงานหลักก็คงทำอะไรได้ไม่มาก
ไอ้การที่จะทำงานอย่างอื่น ฝนก็ตกหนัก
หันรีหันขวางไปเจอเอากะลาตาเดียวพอดี
ก็เลยจับมาร่างเส้นเบาๆไว้กะว่าจะแกะตอนว่าง
ทำไปทำมาฝนทำท่าว่าจะตกยาวก็เลยลงสิ่งซะเลย
แต่จากประสบการณ์การแกะกะลาตาเดียวที่ผ่านมา
มันก็ยังไม่ได้ดังใจเท่าไหร่
ลูกแรกก็แกะแบบเกร็งๆ
ลูกที่สองก็เอียง
พอมาถึงลูกที่สามก็ที่เห็นนี่แหละครับ
กะลาตาเดียวลูกที่3
กะลาตาเดียวลูกนี้จะมีพิเศษกว่าลูกอื่นๆก็คือ
มีการแกะยันต์จันทระประภาลงไปด้วย
ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

กะลาตาเดียวลูกที่3
กะลาตาเดียวแกะยันต์จันทระประภาด้านหลัง
ถ้าเกิดมีใครสงสัยว่าแล้วผมเขียนยันต์เป็น?
หรือเขียนได้ยังไง?
ก็ตอบว่า...ก็ถามท่านผู้รู้ครับ
ขอให้ท่านสาธิตวิธีการเขียนให้ดู แล้วผมก็มาซ้อมมือเพิ่มเติม
ระหว่างที่รอจะส่งคืนท่านเจ้าของกะลาตาเดียวลูกนี้
ผมก็เลยถือโอกาสตั้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชาพระที่บ้านไปพลางๆ
วางคู่กับกะลาตาเดียวลูกที่ 2 ที่เก็บไว้บูชาเอง


กะลาตาเดียวลูกที่2
หลังจากที่รู้วิธีการเขียนยันต์พระราหูแล้ว
ก็นึกอยากจะเขียนลงบนกะลาตาเดียวของตัวเองบ้าง
แต่ก็ยังสองจิตสองใจว่าจะเขียนเป็น
ยันต์จันทระประภาหรือยันต์สุริยะประภา ดี
สังเกตุให้ดีลูกนี้แกะเอียงครับ
ประมาทไปหน่อยไม่ได้วัดระยะและดิ่ง
แต่ก็อย่างว่า ครับ งานทำมือ


กะลาตาเดียวลูกที่1
กะลาตาเดียวลูกนี้ไม่รู้ไปตกอยู่ส่วนไหนของโลก
เพราะตั้งแต่รับแกะ จนส่งงานไปก็ หายไปเลยครับ
มีแต่ฝากบอกคนข้างๆว่าจะส่ง
กะลาตาเดียวลูกสวยๆมาให้ตอบแทนน้ำใจหนึ่งลูก
นี่ถ้าใด้มาจริงๆก็คงจะแกะเป็น
พระราหูลงยันต์สุริยะประภาหน้าหล้ง
และพระราหูลงยันต์จันทระประภาหน้าหล้ง
อย่างละลูกคงสนุกน่าดู

*********************

กะลาตาเดียวที่นำมาลงไว้นี้ขอย้ำว่าทำเป็นงานอดิเรกนะครับ
ทำเพราะอยากทำ อยากลอง นึกสนุกเข้าว่า
แต่พอได้ไปอ่านตำรับตำราที่อาจารย์ท่านทั้งหลาย
แต่งบรรยายไว้เห็นท่านบอกว่า
ยันต์พระราหูที่ทำถูกต้องครบถ้วนตามตำรานั้น
หาได้เป็นสอง รองยันต์ใดๆในโลกนี้ไม่
ว่ากันขนาดนั้นเลยทีเดียว
.......

เดี๋ยวคราวหน้าว่าจะหากะลาตาเดียวที่แตกหรือเป็นเศษ
มาซักชิ้นว่าจะลองแกะเป็นรูปพระพิราพ
พ่อแก่ หรือพระพิฆเนศวร ดู
ขนาดน่าจะเอาให้พอเหมาะกับการแขวนคอ
ก็น่าจะสวยไปอีกแบบและเป็นของที่ไม่ค่อยมีคนทำ
เพราะบางคนเคยบอกว่ากะลาตาเดียวเป็นของมีอาถรรพ์ในตัว
ไม่ต้องปลุกเสกก็ขลัง ว่างั้น
ก็เอาไว้งานเพลาๆมือเมื่อไหร่คงได้มีโอกาสนำเสนอครับ
สำหรับวันนี้สว้สดีครับ
พรุ่งนี้งานหนักยังรออยู่
......


วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

กะลาตาเดียว

พระราหูกะลาตาเดียว

พระราหูกะลาตาเดียว



พระราหูกะลาตาเดียว

หมู่นี่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
งานที่เข้ามาก็มีแต่สายยักษ์


หลังจากส่งงานพระราหูองค์ใหญ่เสร็จ

ก็เหลือบไปเห็นกะลาตาเดียวที่ยังแกะค้างไว้นานมาก

ก็เลยหยิบขึ้นมาสะสางต่อซะให้เสร็จๆไป

ลูกที่เห็นนี้เป็นลูกที่ 2 ที่แกะรูปพระราหูอมจันทร์

เป็นกะลาตัวผู้สีดำเข้มสวยและหนาดี

ส่วนกะลาตาเดียวตัวผู้หรือตัวเมียนั้น

ผมเคยลงในบทความตอนที่แกะกะลาตาเดียวลูกแรกไปแล้ว

หาอ่านย้อนหล้งได้

ทีนี้ก็เหลือกะลาตาเดียวอีก 2ลูกที่ต้องแกะ

เป็นตัวเมียทั้งสองลูก

และรูปที่จะแกะก็วางแผนไว้แล้ว

หนึ่งในสองลูกนั้นคงไม่ใช่แกะพระราหูอมจันทร์แน่

แต่จะแกะเป็นหน้าสามหน้าโดยรอบกะลาตาเดียว

ส่วนจะเป็นรูปอะไรนั้น ก็

นานครับกว่าจะเสร็จและมานำเสนอในบล็อก

ส่วนตอนนี้ก็ดูงานอื่นไปพลางๆก่อนครับ


ที่




........


วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

กะลาตาเดียว

กะลาตาเดียว
ระหว่างที่รอฤกษ์จะขึ้นงานชิ้นใหม่
พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีกะลาตาเดียวอยู่ 2 ใบ
ที่รับปากใครบางคนไว้ว่าจะแกะพระราหูอมจันทร์ให้
ก็เลยนำมา แกะๆ แคะๆ ขูดๆ ขีดๆ
ก็...ออกมาอย่างที่เห็นในรูปครับ
ชิ้นแรกในชีวิตสำหรับงานแกะกะลาตาเดียวรูปพระราหูอมจันทร์
ถ้าไม่นับรวมเอางานปั้นพระราหูเข้าไปด้วย
ส่วนเครื่องมือแกะกะลาตาเดียว
ก็ สิ่วตัวเล็กๆ ตัวเดียวที่เห็นในรูปก็พอแล้วครับ
...............................................................
ทีนี้ก็ลองมาดูว่า กะลาตาเดียวนั้นมีลักษณะยังไง
เขาว่า กะลาตาเดียวจะมีลักษณะ 1ปาก กับอีก1รูที่สามารถงอกได้
ถ้าไม่มีตาเลยเรียกกะลามหาอุดใช้ดีดุจกัน
วันจันทร์ดับตามปฏิทินนำมาตั้งขอพรกลางแจ้งต่อพระราหูก็ได้
ทีนี้ กะลาตาเดียวมีทั้งตัวผู้ ตัวเมีย
แล้วจะดูรู้ได้อย่างไร..............?
กะลาตัวผู้จะมีรอยนูนที่ก้นกะลา3ขีด ส่วนตัวเมียนั้นมี2ขีดแบ่งส่วน
แสดงว่ากะลาตาเดียวที่ผมแกะอยู่นี้
เป็นตัวผู้ครับ เพราะมี 3 ขีด
กะลาตาเดียวแกะพระราหูอมจันทร์
แล้วความเชื่อที่มีต่อกะลาตาเดียวเป็นอย่างไร
ก็สืบค้นตามเน็ตก็ได้ความว่า......

คนในสมัยโบราณนับถือกะลาตาเดียวเป็นวัตถุที่มีอาถรรพ์ที่มีฤทธิ์อยู่ในตัวของมันเอง
จึงนำกะลามะพร้าวที่มีตาเดียวมาแกะเจาะรู
เพื่อติดตัวใช้สำหรับเดินทางเข้าป่าหาอาหาร
ไว้สำหรับป้องกันภัยร้ายต่างๆที่จะมาถึงตัว
ส่วนกะลาทั้งลูกชาวบ้านมักจะนำไว้บูชา
อธิษฐานขอสิ่งต่างๆให้กับครอบครัว
ต่อมาเข้าในสมัยสุโขทัย ได้มีชาวบ้านนำกะลาตาเดียว
มาเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ สำหรับติดตัว เพราะถือกันว่า
เป็นเครื่องรางของขลังสามารถป้องกันคุณไสย และภูติผีปีศาจได้
และยังทำให้ผู้ที่มีติดตัวไว้มีโชคมีลาภอีกด้วย
หรือแกะเป็นรูปพระราหูแขวนเป็นประจำกาย

ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีประวัติกะลาตาเดียวทั้งลูก ว่ากะลาตาเดียวทั้งลูก
หรือมะพร้าวตาเดียวเอาเนื้อมะพร้าวออกหมดแล้ว จะเหลือแต่กะลาทั้งลูก
ที่ไม่มีรอยแตกร้าว จะเป็นที่นิยมของพวกพ่อค้า-แม่ค้า ชาวไร่
ชาวสวน ชาวนา และคู่บ่าวสาวที่แต่งงาน
ตลอดจนพวกข้าราชการชั้นเจ้าขุน เจ้าพระยา
จะนิยมเก็บไว้ในบ้าน เพราะเชื่อว่ามีไว้ในบ้านแล้ว จะช่วยส่งเสริมบารมี
ให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ สูงขึ้นเร็วกว่าคนอื่น
และจะช่วยล้างอาถรรพ์ที่เป็นเสนียดจัญไรภายในบ้านได้เป็นอย่างดี
และทำให้มีกินมีใช้ มีเงินมีทองมากขึ้น ไม่รู้จักหมด
ส่วนบางครอบครัวที่แต่งงานให้ลูกหลาน
และอยากให้ลูกหลานตนมีความสุขมากยิ่งขึ้น
ไม่ให้แตกแยก เลิกร้างจากกัน ก็จะแกะชื่อ-สกุล
ฝ่ายชายลงในแผ่นไม้รัก แล้วใส่ในกะลาตัวเมีย
ส่วนชื่อ-สกุล ฝ่ายหญิง ก็จะแกะลงในแผ่นไม้รักอีกแผ่น
แล้วใส่ในกะลาตัวผู้
เก็บไว้คู่กันในบ้าน ก็จะรักกันชั่วนิรันดร
สมัย ปู่ ย่า ตา ยาย ที่รู้เรื่องกะลาตาเดียว เล่ากันว่า
ยังมีคู่บ่าวสาวที่แต่งงานกัน ไม่ให้สามีของตนนอกใจไปรักหญิงอื่น
ก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ทั้งคู่ สามี-ภริยา ลงในแผ่นไม้รักแผ่นเดียวกัน
แล้วใส่ลงในกะลาตาเดียว ก็จะทำให้สามีหลงรักตนคนเดียว
ไม่นอกใจไปรักหญิงอื่น ส่วนสามีก็เช่นกัน
ถ้าต้องการให้ภริยาเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี
ก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล สามี-ภริยา ลงในแผ่นไม้รักแผ่นเดียวกัน
แล้วใส่ลงในกะลาตัวผู้ ก็จะทำให้ ภริยาไม่นอกใจ ไปมีชู้
โดยเฉพาะพวกข้าราชการทหารที่ออกรบ หรือไปประจำการตามหัวเมืองต่างๆ กะทันหัน
ในช่วงเวลาที่แต่งงานกันใหม่ๆ แล้วจำเป็นต้องราชการแล้วนำภริยาไปด้วยไม่ได้
กะลามะพร้าวตาเดียว ถือกันว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์
ที่มีฤทธิ์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว แม้ว่าไม่ต้องปลุกเสกก็ยังมีความศักดิ์สิทธิ์

แล้ว กะลาตาเดียว มีคุณวิเศษหลายอย่าง

1. ใช้สำหรับตักข้าวสารใส่หม้อ เวลาหุงข้าวกิน หากว่านำติดตัวไปประกอบอาชีพ
ธุรกิจ จะทำให้เกิดทรัพย์สมบัติบริบูรณ์
หากเป็นชาวไร่ ชาวนา และพืชในไร่งอกงามดี
หากเป็นข้าราชการก็จะเจริญทางยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นหัวหน้า
เป็นนายคน เป็นใหญ่เป็นโตเร็วกว่าคนอื่นๆ
2. ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ติดประจำกายไว้กับตัว
เพราะกะลาตาเดียวเป็นอาถรรพ์มีดีอยู่ในตัวแล้ว
หากว่ามีการนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคม
ก็จะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์มากยิ่งขึ้น
3. ใช้สำหรับเป็นสิ่งป้องกันเสนียดจัญไรป้องกันคุณไสยและภูติผีปีศาจได้
ใช้แก้ผีเข้า ของมีคมเข้าตัว ใช้ล้างอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน
เช่นปลูกบ้านทับของมีอาคมร้าย ซากศพ บ่อน้ำ บ้านตั้งอยู่กลางสามแพร่ง
และอื่นๆ ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย ให้กลับกลายเป็นดีได้
4. ใช้ป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ เช่นทำให้แคล้วคลาด
จากอุบัติเหตุต่างๆที่จะมาถึงตัว
5. ใช้ทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ติดตัวเป็นประจำ
จะทำให้สุขภาพแข็งแรงดี โรคภัยไข้เจ็บ จะไม่ค่อยมาเบียดเบียน
ที่เจ็บป่วยอยู่ก็จะทำให้สุขภาพดีขึ้น
6. นำบูชาอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภสม่ำเสมอ
ทรัพย์สินเงินทองจะหลั่งไหลมาเทมาไม่ขาดสาย
7. นำพกพาไปค้าขายก็จะค้าขายดี นำติดตัวไปซื้อของก็จะได้ของมามาก
ทั้งที่มีเงินนิดเดียว ถ้าขายของก็จะได้เงินเข้ามามาก
แต่ของที่ขายไปดูยังไม่ยุบไปเท่าไหร่
8. คนสมัยโบราณ ใช้นำเป็นเครื่องมือแพทย์
โบราณใช้ในการตัดต้อที่ตาของคน ให้หายขาดได้
9. ใช้เป็นยารักษาโรคอัมพาต
โดยนำทั้งลูกมาผ่า แบ่งเป็นสี่ส่วน
ให้นำชิ้นนึงไปทางทิศตะวันตก
อีกสามชิ้นส่วน มาต้มน้ำ มาต้มน้ำกินน้ำทุกวัน
วันละ 3 มื้อมื้อละ 1 แก้ว ถ้าหมดก็นำมาแบ่งเช่นเดิม
แล้วต้มกินอีก ไม่นานก็จะหายจากอัมพาต
ส่วนกะลาตาเดียวลูกที่ 2 นั้น
หน้าตาจะเป็นอย่างไรก็คงจะเร็วนี้ครับ
...................