พระพิราพปาฏิหาริย์บันดาลทรัพย์

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

พระพิราพ




พระพิราพ ลักษณะคือ หน้ากางคางออก เรียกว่าหน้าจาวตาล
สีม่วงแก่ หรือสีน้ำรัก หรือสีทอง ปากแสยะ ตาจระเข้
เขี้ยวทู่หรือเขี้ยวตัด หัวโล้น สวมกะบังหน้า
ตอนทรงเครื่องสวมมงกุฎยอดเดินหน
กายสีม่วงแก่ 1 พักตร์ 2 กร มีกายเป็นวงทักขิณาวัฎ
พระพิราพ เป็นครูสูงสุดทั้งฝ่ายนาฏศิลป์และดุริยางค์ศิลป์
โดยเชื่อกันว่า พระองค์นั้น เป็นภาคหนึ่งของพระอิศวร
ซึ่งในคติดั่งเดิมเรียกพระองค์ว่าพระไภรวะ หรือไภราวะ หรือพระไภราพ
เมื่อนาฏดุริยางค์ศิลป์ของไทยเรานับเอาศาสตร์แขนงนี้มาจากอินเดีย
คติการนับถือพระอิศวรนารายณ์ทวยเทพทั้งหลายรวมไปถึงพระไภรวะจึงติดตามมาด้วย
แต่เมื่อเข้ามาในไทยเราแล้วมีการเรียกนามพระองค์เพี้ยนไปจากเดิมเป็นพระพิราพ
คติการนับถือพระพิราพกับการแสดงนาฏศิลป์และดุริยางค์ศิลป์
ปรากฏหลักฐานมาแต่สมัยกรุศรีอยุธยา
และมีการบันทึกหลักฐานเป็นที่แน่ชัดในราวรัชกาลที่ ๒
พระพิราพถือเป็นครูยักษ์ เป็นเทพอสูร และเป็นมหาเทพ(ศิวะอวตาร)
แต่เนื่องจากนามของพระองค์คล้ายคลึงกับตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์
ซึ่งมีลักษณะเป็นยักษ์เช่นกันคือยักษ์วิราธ
และนิยมเรียกเพี้ยนเป็นยักษ์พิราพ
ทำให้บรมครูสูงสุดกับตัวละครตัวนี้เกิดความสับสนปนเปกัน
ในปัจจุบันทางกรมศิลปากรได้มีการชำระประวัติของพระพิราพ
โดยนักวิชาการ และมีการเผยแพร่สร้างความเข้าใจให้แก่บุคคลทั่วไป
แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ในปัจจุบันนี้คติการนับถือพระพิราพแพร่หลายมากขึ้น
เนื่องจากครูบาอาจารย์หลายสำนักนิยมนำพระองค์มาสร้างเป็นวัตถุมงคล
ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเผยแพร่ครูบาอาจารย์
อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นประโยชน์แก่การศึกษา ผู้บูชาจึงควรศึกษาประวัติของท่านให้ถ่องแท้ด้วย
ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนก็ต้องเข้าไปดูที่
เป็นที่ๆผมแอบใช้หาความรู้และเป็นตัวอย่างการทำงานครับ
..............................
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพระพิราพผ่านไป
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของผมบ้างนะครับ
.........
พระพิราพตอนนี้กำลังรับจองอยู่ครับ
แค่ 99 องค์เท่านั้น
หมดแล้วหมดเลย
รายละเอียดก้อเคยลงในบทความแล้วครับ
ก็ลองหาอ่านดู
ท่านที่สนใจก็เชิญนะครับ
หลังจากส่งงานครบ 99 องค์แล้ว
ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการทำลายพิมพ์ทิ้งครับ
ส่วนถ้าจะมี่ทำเพิ่มมากกว่า99องค์นั้น
ยืนยันได้ว่าต้องมีใครแอบถอดพิมพ์ใหม่แน่นอน
และองค์ที่ถอดพิมพ์นั้นน่าจะเป็นองค์ที่ผ่านการทำพิธีมาแล้ว
แค่คิดก็น่ากลัวแล้วนะครับ
ทั้งหมดนี้ก็แค่เตือนสติหลายคนที่จ้องอยู่เท่านั้นเองครับ
ส่วนรูปภาพการทำพิธีตามที่ต่างๆคงจะนำมาลงเป็นระยะๆครับ
............
ส่วนงานที่ถวายพระ 9องค์ก็ที่

ครับ
...................

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

พระราหูเทพเจ้าแห่งโชคลาภ

พระราหูเทพเจ้าแห่งโชคลาภ


พระราหูเทพเจ้าแห่งโชคลาภ



พระราหูเทพเจ้าแห่งโชคลาภ


พระราหูเทพเจ้าแห่งโชคลาภ


พระราหูเทพเจ้าแห่งโชคลาภ
ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น



งานที่เข้ามาข่วงนี้



มีแต่ของแรงๆทั้งนั้นครับท่าน



ตั้งแต่ปั้น พระพุทธรูปตามนิมิตร



พระยาครุฑ พระพิราพ



ปัจจุบันนี้ก็ที่เห็นครับคือ



พระราหู



มีกำหนดแล้วเสร็จก็ก่อน



18 ตุลาคม 2552 นี้ครับ เห็นลูกค้าบอกจะให้ทันพิธี



บวงสรวง ที่วัดศรีษะทองครับ



ซึ่งตอนนี้ก็เร่งกันเต็มที่ครับ



ส่วนงานแล้วเสร็จจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น



ก็คงจะนำมาลงในบทความนี้ต่อไปครับ


นี่ถ้าเกิดได้ปั้น


ท่านท้าวเวสสุวรรณ


ละก็คงจะครบเหล่าอสูรเทพทั้งหลายเป็นแน่


หรือจะเข้าไปดูงานอื่นก็ที่






หรือท่านที่ชอบดู youtube ละก็ลองเข้าไปดูที่



taxass108 ก็จะมีประมาณ 10 คลิปครับ



ทำเอาสนุกเข้าว่า..........



.......................
ทีนี้ก็มาถึงวิธีการบูชาพระราหูครับ

การบูชาพระราหู จะนำความสำเร็จหรือมีโชคอย่างดีที่สุด และมีทางจะร่ำรวยด้วยอิทธิพลของเลข ๘
การบูชาจึงให้ใช้ของดำ ๘ อย่าง ดังนี้
ไก่ดำ เหล้าดำ การแฟดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ ถั่วดำ ขนมเปียกปูนดำ และไข่ดำ
จะมีความสำเร็จหรือมีโชคลาภอยู่เสมอ การเงิน การลงทุนทุกอย่างจะมีทางรวย
ปัญหาที่มีบ้างก็สามารถแก้ไขไปจนเรียบร้อยการบูชาพระราหูเป็นการเสียเงินค่าบูชาน้อยมาก
แต่ก็จะสามารถแก้ไขได้ทุกอย่างได้อย่างดี
แทนที่จะไปโดนหลอกลวงเสียเงินเป็นแสนเป็นล้านก็จะรอดพ้นไปได้อย่างสบายๆ
ไม่มีความงมงาย

การบูชาพระราหู เมื่อได้ของดำ ๘ อย่างมาแล้ว ก็ทำพิธีกลางแจ้ง
ใช้โต๊ะวางกลางแจ้ง หรือที่สนาม หรือที่ดาดฟ้าก็ได้ บางทีก็ทำที่ระเบียงที่มีลมพัดผ่านได้
อาหารต้องเป็นของดำที่สุกแล้ว สามารถนำมากินหรือดื่มต่อไปได้
การจะให้ขลังต้องดื่มหรือเอาไปอาบจะดีมาก ส่วนอาหารประเภทกินได้ ก็นำมากินได้เช่นเดียวกัน และสามารถจะนำไปแจกจ่ายคนข้างบ้านได้ด้วย
การบูชาพระราหู จะอธิษฐานอย่างไรตามใจปรารถนา
และสามารถทำได้ทุกวันพุธตอนกลางคืน เวลาอะไรก็ได้
ในวันพุธแรกที่บูชา จะเป็นของดำที่ครบชุดหรือชุดใหญ่ และสามารถบูชากันทั้งบ้าน
หรือชักชวนคนอื่นๆมาบูชากันก็ได้ ส่วนของบูชาใช้ชุดเดียวกันนั้นเท่านั้น
แต่ต้องใช้ธูปดำคนละ ๘ ดอกต่างหาก
ครั้งแรกบูชาครบชุดแล้ว ครั้งต่อๆไปก็ใช้เฉพาะเหล้า ๑ จอก และธูป ๘ ดอก
ในการอธิษฐาน หรือขอพรความสำเร็จ การบูชาพระราหูดังกล่าวนี้ไม่ใช่การบูชาพระราหูประจำวัน
แต่เป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มีการช่วยเหลือในทางโชคลาภ
หรือเป็นการป้องกันภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อไป เป็นการบูชาที่ขออะไรก็ได้
แม้บางอย่างจะเป็นการโลภหรือเป็นการผิดกฎหมายก็ได้ แต่ทั้งนี้อย่าได้ผิดศีลธรรมที่ดี
การเงิน ความสำเร็จทั่วไป จะเกิดขึ้นกับทุกท่านที่บูชาพระราหูด้วยความศรัทธา
การบูชาพระราหู หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เทพราหู"
ซึ่งถือเป็นเทพองค์หนึ่ง สามารถบันดาลประโยชน์และโทษให้เกิดขึ้นกับบุคคลหรือสิ่งต่างๆได้
ฉะนั้น เพื่อให้โชคร้ายอันอาจจะเกิดขึ้นบรรเทาลง
หรือแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งดีงาม จึงได้คิดค้นวิธีบูชาเทพองค์นี้
โดยไม่ต้องขอให้คนอื่นมาทำพิธีให้ สามารถกระทำการบูชาด้วยตัวเอง
และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายอะไร
วันบูชา ขอให้บูชาในวันพุธตอนกลางคืน (เวลาใดก็ได้ที่สะดวก) กลางแจ้งที่มีลมพัดผ่าน
ทิศ หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ของบูชา ๘ อย่าง ดังที่กล่าวไว้แล้ว
ท่านที่หาของตามนี้ไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นของดำอย่างอื่น เช่น องุ่นดำ งาดำ น้ำอัดลมสีดำ ก็ได้ ทั้งนี้ของดำทั้ง ๘ อย่างต้องให้สุกทั้งหมด (หมายถึงพร้อมกินหรือดื่มได้)
.
ข้อยกเว้น อาจทำพิเศษในคืนวันที่ ๓ , ๘ , ๑๒ , ๑๘ , ๒๘คนเกิดวันพุธกลางคืน
ถ้าบูชาตลอดชีวิตได้จะดีมาก
คนที่เกิดวันที่ ๓ , ๘ , ๑๒ , ๑๘ , ๒๘ หรือบ้านเลขที่ บัตรประจำตัวประชาชน
บัตรข้าราชการ เลขทะเบียนบ้าน เบอร์โทรศัพท์ที่ลงท้ายด้วยเลข ๘
คนที่มีอักษร ย ร ล ว อยู่ในชื่อ ควรบูชาพระราหูเป็นประจำ
จะเกิดความร่ำรวยและมีความสำเร็จในกิจการงานทั้งปวง
นอกจากนี้จะมีความปลอดภัยในการเดินทางไกล การเสี่ยงโชค
หรือการลงทุนจะร่ำรวยดีมาก
การบูชาพระราหู ผู้บูชาจะต้องมีศีลมีธรรมและมีความดี
มีคุณธรรมสูง และทำบุญกุศลอยู่เสมอ ความร่ำรวยหรือโชคลาภใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้
.....................................






เรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติพระราหู
พระราหูเป็นพญาอสูรแต่เพียงผู้เดียวที่มีความเป็นอมรหรืออมตะในบรรดาหมู่
อสูรทั้งหมด จึงได้รับการยกย่องจากพระพรหมให้เป็นเทพองค์หนึ่งด้วย
อสูรราหูเป็นบุตรของพระ กัศยปเทพบิดรกับนางสิงหิกา
แต่กลับมีร่างกายเป็นยักษ์ร้าย เมื่อทวยเทพกับอสูรได้ทำสงครามกันครั้งใด
อสูรราหูก็จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการ นำทัพอสูรเข้าบุกแดน ดาวดึงสาพิภพของพระอินทร์ทุกครั้ง
แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพระอินทร์ได้ ต้องถอยทัพกลับมาทุกครั้งไปเช่นกัน
แต่เมื่อพระอินทร์ถูกฤาษีสาปให้ถอยฤทธิ์ลง
พระอินทร์และ เทวดาบริวารก็พ่ายแพ้แก่พวกอสูรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พวกเทวดาจึงถูกพวกอสูรฆ่าตายลงไป จนเกือบหมด
พระอินทร์ก็หมดปัญญาที่จะต่อสู้อีกต่อไป จึงได้พาเทวดาบริวารไปกราบทูลขอ
ความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า ในทะเลน้ำนมอันเป็นที่สิ่งสถิตของพระองค์
พระนารายณ์ก็แนะนำให้ทำพิธีกวนน้ำทิพย์
เมื่อกินแล้วจะได้มีความเป็นอมตะ คือไม่รู้จักตาย
แต่ทรงเห็นว่าลำพังเฉพาะพวกเทวดาแล้วคงทำงานใหญ่ครั้งนี้ไม่สำเร็จ
จำเป็น ต้องอาศัยแรงและฤทธิ์ของพวกอสูรด้วยจึงจะทำได้
จึงทรงบอกให้พระอินทร์และบรรดาเทวดาไป ขอร้องให้พวกอสูรมาช่วยด้วย
ให้แกล้งหลอกทำสัญญากับพวกอสูรว่าถ้ากวนน้ำทิพย์สำเร็จแล้วก็
จะแบ่งให้พวกอสูรครึ่งหนึ่งของน้ำทิพย์ที่ได้ทั้งหมด
แต่พอได้น้ำทิพย์แล้วก็ค่อยหาทางหลีกเลี่ยง กันทีหลัง
คือไม่ยอมให้พวกอสูรได้กินน้ำทิพย์นั้นกันเสียเลย พระนารายณ์ทรงรับรองว่าถึงตอน
นั้นพระองค์จะทรงจัดการกับพวกมันด้วยพระองค์เอง
เมื่อพวกเทวดาไปทำสัญญากวนน้ำทิพย์ร่วมกันกับพวกอสูรเป็นผลสำเร็จแล้ว
พิธีกวนน้ำทิพย์จึงได้เริ่มขึ้น ณ ทะเลน้ำนมนั่นเอง
ด้วยการยกเอาภูเขามันทรมาเป็นเครื่องกวนน้ำ ในทะเลน้ำนมนั้น
บรรดาเทวดาและอสูรตางก็ออกไประดมกันเก็บเกี่ยวเครื่องยาสมุนไพรที่มีอยู่ทั้ง
สามโลกนานาชนิดเป็นจำนวนมหาศาลมาทุ่มทิ้งลงไปในทะเลแห่งนั้น
แล้วเอาพญานาควาสุกรีมา พันรอบเขามันทรต่างสายเชือก
สำหรับให้เทวดาและอสูรช่วยกันดึงไปมาปั่นภูเขาให้หมุน
เพื่อให้ เครื่องยากับน้ำในมหาสมุทรเข้ากันจนเกิดเป็นน้ำทิพย์ที่ต้องการ
เมื่อถึงเวลาของการดึงเชือกหรือ พญานาคพวกเทวดาก็เริ่มเอาเปรียบตั้งแต่เริ่มแรกกันทีเดียว
ด้วยการพากันไปดึงส่วนที่เป็นหาง ของนาค
พวกอสูรจึงจำต้องไปดึงที่ส่วนหัวของพญานาค พวกเทวดาและอสูรต่างก็ช่วยกันปั่น
ช่วยกันกวนน้ำทิพย์จนเป็นเวลาช้านาน พญานาควาสุกรีได้รับความทุกข์ทรมานิ่งจึงพ่นพิษออก
มาเป็นไฟถูกพวกอสูรบาดเจ็บและอ่อนแรงลง
อสูรราหูก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องการแรงฉุดอยู่ทางหัวนาค
จึงต้องได้รับทุกข์ทรมานและเจ็บปวดไปด้วยพิษนาคด้วย
แต่ก็จำต้องอดทนเพื่อความสำเร็จจึง ต้องทนทำต่อไป
แต่ก็ให้รู้สึกคิดแค้นพวกเทวดาอยู่ไม่หาย อสูรราหูจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นอมตะให้ได้
แต่…เมื่อนานเข้า ๆ พญานาคก็ยิ่งได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นกว่าใคร ๆ
จึงได้พ่นพิษเป็นไฟกรด ออกมาเป็นจำนวนมาก เกิดความร้อนแรงจนสุดที่ทนทานกันได้
พวกเทวดาและพวกอสูรต่างก็ ผละออกวิ่งหนีเอาตัวรอดกันด้วยความตกใจกลัว
และไฟกรดนั้นก็มีทีท่าที่จะลุกลามไหม้ออกไปได้ หมดทั้งสามโลก
จนกระทั่งพระอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงทนดูอยู่ไม่ได้ จึงได้ทรงปรากฏพระวรกายขึ้น
ณ ที่นั่นแล้วอ้าพระโอษฐ์ออกดูดกลืนไฟกรดและพิษร้ายของพญสนาค
ไว้หมดแต่เพียงพระองค์เดียว ก่อนที่โลกจะถูกทำลายลง
ไฟกรดอันเป็นพิษร้ายแรงก็ได้เผาผลาญพระศอของพระองค์จนไหม้เกรียม
เป็นสีดำประดุงดั่งสีนิล เมื่อความวุ่นวายโกลาหลถูกยุติด้วยเทวานุภาพของพระอิศวรลงแล้ว
ความเป็นอมตะแห่งทะเลน้ำนมก็บังเกิดขึ้น
ของวิเศษต่าง ๆ ได้ผุดขึ้นจากเกษียรสมุทรหลาย อย่าง
เช่น พระลักษมี เทพีแห่งเหล้า ช้างเอราวัณ และอื่น ๆ รวมทั้งนางอัปสรอีกมากมาย
จน… กระทั่งถึงอันดับสุดท้ายก็มีเทพบุตรทูนหม้อน้ำทิพย์ผุดขึ้นมาแล้ววางไว้
ณ ฝั่งแห่งเกษียรสมุทรนั้น เทวดาและอสูรต่างก็วุ่นวายกันเข้ายื้อแย่งของวิเศษ
หลบหนีไปเสียทันที แต่พระนารายณ์ก็ได้ทรง
เห็นเสียก่อนจึงเสด็จตามเอาหม้อน้ำทิพย์นั้นกลับมาได้
แล้วพระนารายณ์จึงทรงประกาศให้พวก เทวดามาดื่มกินน้ำทิพย์กันโดยทั่วหน้า
ส่วนอสูรราหูก็ไม่ลดละจึงได้ลอบเข้ามาแล้วแปลงกายเป็น พราหมณ์
เข้าไปขอแบ่งน้ำทิพย์ดื่มกินด้วย พวกเทวดาก็ไม่ระแวงสงสัยเมื่อเห็นเป็นพราหมณ์เช่นนั้น
ก็ตักน้ำทิพย์ส่งให้ด้วยความยินดี
อสูรราหูในรูปกายของพราหมณ์แปลงก็ได้ดื่มกินน้ำทิพย์นั้น
สมความตั้งใจของตน
พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นการกระทำของอสูรราหูเช่นนั้นเข้าก็เอะอะ โวยวายขึ้น
จนความทราบถึงพระนารายณ์ ๆ จึงทรงขว้างอสูรราหูด้วยจักร
อันเป็นเทพศัสตราของ พระองค์
จักรของพระนารายณ์ได้ตัดร่างของอสูรราหูออกเป็นสองท่อน
แต่ด้วยอานุภาพแห่งน้ำ ทิพย์ที่อสูรราหูได้ดื่มกินเข้าไปจึงทำให้ไม่ตาย
ด้วยที่ถูกพระนารายณ์ทำร้ายเอาจนถึงกับร่างกายขาดกันเป็นสองท่องนี่เอง
ก็ เพราะพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นต้นเหตุ
พระราหูจึงได้อาฆาตแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระราหูจึงได้หาโอกาสจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกินอยู่เรื่อยมา
แต่ พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็หลุดล่วงพ้นไปได้ในชั่วเวลาที่ไม่นานนัก
ทั้งนี้ก็เพราะพระราหูมีร่าง กายอยู่เพียงครึ่งท่อนนั่นเอง
การกระทำของพระราหูต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์อันเป็นการจองเวรนั้นจึง
ทำให้เกิดสุริยคราสและจันทรคราสขึ้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้


--------------------------------------


พระราหูทรงเป็นอสูรเทพ คือเป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์นั่นเอง
มีพระวรกายสีดำสนิทและทรงอาภรณ์สีดำสนิทบ้างก็สีทองแดง

พาหนะ ตามตำราชาวฮินดู คือสิงห์ สำหรับโหราศาสตร์ไทย ทรงครุฑเป็นพาหนะ

ตำนานเล่ากำเนิดของพระราหูมีมากมาย ดังนี้

พระราหู เป็นโอรสของพระวิประจิตติ และพระนางสิหิกา
เมื่อแรกเกิดขึ้นพระราหูมีหางเป็นนาค
และสถิตอยู่ในวิมานสีนิชลหรือสีดำขลับโดยมีพาหนะเป็นพญาครุฑ
พระราหูถือเป็นเทวะองค์ที่ 8 ในบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์


ในคัมภีร์อินเดียโบราณ บันทึกว่าพระศิวะได้นิรมิตผีโขมด 12 ตน
และร่ายพระเวทป่นให้ผีนั้นแหลกละเอียดเป็นผุยผงจากนั้นนำผ้าสีดำสนิทมาห่อ
และประพรม ด้วยน้ำอมฤตเสกสรรบันดาลให้กลายเป็นเทวะองค์ที่ 8 นาม พระราหู

ตำนานเล่ากำเนิดของพระราหูมีมากมาย ดังนี้

คัมภีร์โบราณฮินดูกล่าวว่าพระราหูทรงเป็นโอรสของพระพฤหัสบดีกับนางสิงหิกา
บางคัมภีร์กล่าวว่าทรงเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ก่อนมากำเนิดบนสวรรค์ เรื่องเล่าอดีตชาติเรื่องราวเกิดขึ้นที่บ้านเศรษฐีผู้มั่งคั่งผู้หนึ่งมีบุตรชาย 3 คน คนโต อดีตชาติคือพระอาทิตย์ คนรอง อดีตชาติคือพระจันทร์ และคนสุดท้อง อดีตชาติคือพระราหู ต่อมาเมื่อเศรษฐีได้ถึงแก่กรรมลงทั้ง 3 พี่น้องได้นิมนต์พระมาทำบุญโดยการใส่บาตร พี่คนโตได้คว้าขันทองคำพร้อมอธิษฐานด้วยเสียงดังว่าผลบุญที่กระทำจงส่งผลให้เกิดเป็นพระอาทิตย์เพื่อส่องแสงในยามกลางวัน พี่คนรองคว้าได้ขันเงินเมื่อใส่บาตรเสร็จจึงอธิฐานดังๆ ว่าขอให้เกิดเป็นพระจันทร์ทำหน้าที่ส่องแสงยามค่ำคืนด้วย ส่วนคนสุดท้องเมื่อได้ฟังพี่ชายทั้ง 2 ของตนอธิฐานก็โกรธเป็นอย่างมากจึงคว้ากระบุงใส่ข้าวมาใส่บาตรอธิฐานดังๆ ว่าขอให้เกิดเป็นพี่ชายใหญ่ของพระอาทิตย์และพระจันทร์ มีร่างกายใหญ่โตจนสามารถบดบังแสงแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้
กาลต่อมาเมื่อทั้ง 3 คนสิ้นอายุลงคำอธิฐานก็เป็นดังที่ขอไว้ทั้งสิ้น
เวลากลางวัน เมื่อพระราหูโคจรพบพระอาทิตย์ก็บดบังแสงไว้มิให้ส่องมายังโลก
เหตุนี้จึงเรียกว่าการเกิดสุริยุปราคา
เวลากลางคืน เมื่อพระราหูก็จะเข้าบดบังอมพระจันทร์ไว้ให้มืดมิด
เหตุนี้จึงเรียกกันว่า จันทรุปราคา หรือจันทรคราส
ซึ่งเกิดจากความโกรธพี่ชายทั้ง 2 ของตนที่ได้อธิฐานไว้จึงเกิดเป็นความพยาบาทสืบเนื่องกันมา
เหตุที่พระราหูร่างขาดเป็น 2 ท่อน มีตำนานเล่าไว้ 2 ประเด็นคือ
เล่ากันว่าพระราหูได้แปลงตัวเป็นเทวะองค์หนึ่งเข้ารวมในการชุมนุมของทวยเทพ
และได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไป แต่ทว่า พระสุริยาทิตย์ และพระจันทร์ได้สังเกตเห็น
เข้าจึงนำความไปบอกพระวิษณุหรือพระนารายณ์
ว่าพระราหูผู้เป็นแทตย์ได้แปลงร่างไปเป็นเทวะและลอบดื่มน้ำอมฤตนั้น
พระนารายณ์ทรงกริ้วนักจึงขว้างด้วยจักรถูกพระราหูจนวรกายขาดไปครึ่งองค์
แต่ทรงมิสิ้นชีพเนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้วจึงมีฤทธานุภาพสูงเทียมเท่ากับ
เทวะทั้งมวล พระราหูจึงเหลือแต่เพียงท่อนหัวล่องลอยไปมาในชั้นสวรรค์
คอยจับพระอาทิตย์และพระจันทร์มากินเพื่อแก้แค้นดังเช่นเดิม

ส่วนท่อนตัวหรือท่อนล่างของพระราหูที่กระเด็นขาดหายไปได้กลาย
ไปเป็นพระเกตุเป็นเทวะแห่งนพเคราะห์องค์ที่ 9
ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นดาวหางหรือ ดาวผีพุ่งไต้
เกิดขึ้นนานๆ ครั้งในชั้นบรรยากาศนั่นเอง
อีกตำนานเล่าไว้ว่า
เหตุเกิดจากพญาครุฑ (พระอาทิตย์) อยากกินพญานาค (พระเสาร์)
จึงเข้าไล่จับมาทำอาหาร
พญานาคหนีไปหาพระราหูเพื่อขอให้ช่วยเหลือ
จึงต่อสู้กันสุดท้ายพญาครุฑพ่ายแพ้จึงเข้าเฝ้าพระอินทร์ (พระพฤหัส)
สุดท้ายพระอินทร์ก็ไม่สามารถจับพญาครุฑได้
ส่วนพระราหูเหลือบไปเห็นน้ำอมฤตด้วยความเหนื่อยล้าจึงยกน้ำอมฤตขึ้นดื่ม
เมื่อพระอินทร์เห็นดังนั้นก็บรรดาลโทสะขว้างจักรเพชรเข้าใส่ร่างพระราหูขาดออก 2 อ่อน
แต่ก็ไม่ตายด้วยดื่มน้ำอมฤตก่อนแล้ว
.............

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ลีลาวดี








ลั่นทม เป็นไม้ดอกยืนต้นในสกุล Plumeria มีหลายชนิดด้วยกัน
บางคนมีความเชื่อว่า ไม่ควรปลูกต้นลั่นทมในบ้าน
เนื่องจากมีชื่อเป็นอัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า 'ระทม' ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ
แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อใหม่ ว่า ลีลาวดี และนิยมปลูกกันแพร่หลายอย่างมาก
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ จำปา, จำปาลาว และจำปาขอม เป็นต้น
(สำหรับชื่อภาษาอังกกฤษ ได้แก่ Frangipani, Plumeria, Templetree)
ลั่นทม เป็นไม้ที่นำมาจากเขมร
ทางภาคใต้ เรียกชื่อว่า "ต้นขอม" "ดอกอม" ส่วนใหญ่ที่ปลูกกันเป็น "ลั่นทมขาว"
เล่ากันว่า ไม้นี้นำเข้ามาปลูกในไทย เมื่อคราวไปตีนครธม
ได้ชัยชนะ นำต้นไม้นี้เข้ามาปลูก และเรียกชื่อเป็นที่ระลึกว่า "ลั่นธม"
"ลั่น" แปลว่ ตี เช่น ลั่นฆ้อง ลั่นกลอง
"ธม" หมายถึง "นครธม"
ภายหลัง "ลั่นธม" เพี้ยนเป็น "ลั่นทม"
ลั่นทมเป็นพืชนิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ได้แก่ขาว
เหลืองอ่อน แดง ชมพู ฯลฯ บางดอกมีมากกว่า 1 สี
ดอกลั่นทมยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว
และพบได้มากบริเวณทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง
สำหรับในประเทศไทยนั้นมักพบต้นลั่นทมตามธรรมชาติทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่
คนโบราณมีความเชื่อว่า ต้นลั่นทมนั้น ไม่ควรปลูกในบ้าน
ด้วยมีชื่ออัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า ระทม ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ,
จึงได้มีการเรียกชื่อเสียใหม่ให้เป็นมงคล ว่า ลีลาวดี
ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด
มีความเข้าใจผิดกันว่า ลีลาวดี นั้นเป็นชื่อพระราชทาน
จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่
เป็นเพียงความเข้าใจผิด
เพราะเป็นชื่อพระราชทานจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ลีลาวดี ถ้าแปลตามความหมายตามอักษรแล้ว
ก็คือต้นดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย
ไม้นี้เดิมเรียก ลั่นทม
เป็นไม้ยืนต้นในเขตร้อน ที่เห็นทั่วๆไปมีดอกสีขาว แดง ชมพู
ชื่อเดิมของพันธุ์ไม้นี้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้ มาจากคำว่า ระทม
ซึ่งหมายถึงความเศร้าโศก
จึงไม่เป็นที่นิยมปลูกในบริเวณบ้านหรือที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ตามมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึงคำว่า ลั่นทม ว่า
ลั่นทมที่เรียกกันแต่โบราณ หมายถึง
การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข
ดังนั้นคำว่า ลั่นทม แท้จริงแล้วเป็นคำผสมจาก ลั่น+ทม
โดยคำแรกหมายถึง แตกหัก ละทิ้ง
และคำหลังหมายถึงความทุกข์โศก
.........
แต่ทั้งหมดนี้จะอะไรก็แล้วแต่ครับ
ตราบใดที่มีคนซื้อก็มีคนขายและคนทำเสมอ
ส่วนเรื่องอื่นๆก็
ครับท่าน
........

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

พระอวโลกิเตศวร







พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
หน้าตัก 3 นิ้วฟุต
ที่เห็นทำสีเงินนี้ก็เพราะว่าหิ้งพระผมอุดมไปด้วยสีทองครับ
ก็เลยเบรคสีหิ้งพระนิดหนึง
ส่วนเรื่องอื่นๆก็
ครับ
..............



พระศรีอริยเมตไตรย







พระศรีอริยเมตไตรย, พระศรีอาริยเมตไตรย หรือพระศรีอาริย์
องค์นี้หน้าตักกว้าง 3 นิ้วฟุต
วัสดุเรซิ่น ทำสี ทอง
เป็นผลงานการปั้นของ
ทีม บ้านเป็ดน้อย
คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
............