ขอเชิญร่วมทำบุญบูชา
พระผงเศียรปู่พญามัจจุราช มวลสารศักดิสิทธิ์
1. สมทบทุนเพื่อผู้ป่วยยากไร้และจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ในโครงการให้ปีละ 365 บาท ของรพ.ชลประทาน2. สร้างแม่พิมพ์ ลพ.โสธร ปางพระมหาจักรพรรดิ หน้าตัก 5 นิ้ว 15 นิ้ว
3. กองทุนคุณบิดามารดา
มวลสาระสำคัญคือ ผงอัฐิธาตุพระธาตุหลวงตามมหาบัว ญาณสัมปันโน ,หลวงปู่เมฆ กิตติสัทโท,หลวงปู่ชา,หลวงปู่สาม,หลวงปู่ ฯลฯ ผงแร่เหล็กไหล,น้ำพี้,งิ้วดำ,ผงธูปบูชาปู่พญามัจจุราช,ผงวัดระฆัง,ผงวัดบางขุนพรหม,ผงดินที่พักพระศพหลวงปู่ทวด,ผงศักดิ์สิทธิ์ 3,000 กว่าชนิด
1.ร่วมทำบุญ 219 บาท รับมอบ “พระผงเศียรปู่พญามัจจุราช เพ้นส์สี” 1 องค์ มีเพียง 70 องค์ (ค่าส่ง 50 บาท)
2.ร่วมทำบุญ 159 บาท รับมอบ “พระผงเศียรปู่พญามัจจุราช” 1 องค์ มีเพียง 70 องค์ (ค่าส่ง 50 บาท)
ปู่พญามัจจุราช ท่านมาเมตตา(แกม)ให้ทำติดๆกันถึงสามวัน เสมือนท่านรู้อะไรล่วงหน้าว่าถ้าผมไม่ทำช่วงนี้(มีนาคม) คงอีกยาวกว่าจะได้ทำเพื่อเผยแพร่พระบารมีท่าน มอบให้แก่ลูกหลานและท่านให้ทำชุดที่.2 เพื่อมอบให้ลูกหลานท่านโดยไม่มีเงื่อนไขจำนวนหนึ่ง ไว้ที่ศาลแถวถนนติวานนท์ เลยทางเลี้ยวเข้าเมืองทองธานีไปสัก 100 เมตร
ส่วนการอธิษฐานจิต...ปู่ท่านเมตตามาเองและท่านอัญเชิญพระพุทธเจ้าครูบออาจารย์พระอรหันต์เจ้ามาแผ่สถิตย์พลังงานลงสู่ พระผงเศียรปู่ชุดนี้......กรุณาอย่าลองด้วยความคะนองหรืออวดดี.....ถ้ายังงั้นก้อตัวใครตัวมันละครับ
พระยามัจจุราช
พระยามัจจุราช
กองทุนคุณบิดามารดา
“พระอรหันต์ พระพรหม ครู ญาติ เพื่อนของลูก”
ร่วมทำบุญเดือน 100 บาทหรือตามกำลังศรัทธา
การจัดตั้งกองทุน “คุณบิดามารดา” นี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่จะตอบแทนพระคุณบิดามารดา ที่มีมากมายนับประมาณมิได้จนไม่สามารถทดแทนกันได้หมดสิ้น โดยนำปัจจัยที่ทุกท่านเสียสละไม่มากก็น้อยตามกำลังตามความสามารถทุกท่าน ไปร่วมทำบุญสร้างกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ มากน้อยก็เฉลี่ยกันไปในแต่ละครั้ง
ซึ่งทุกท่านสามารถร่วมทำบุญเพื่อเป็นเสบียงกรังให้ท่านทั้งสอง มีความพร้อมขณะยังดำรงหรือละธาตุขันธ์ไปแล้ว และส่งมอบท่านไปจนชีวิตตัวเราจะหาไม่ การสร้าง”ทานบารมี”นั้นสามารถพัฒนายกภูมิขึ้นไปสู่แห่งการ”พ้นทุกข์”ได้ครับ เพราะทานเป็นการเสียสละ การยับยั่งชั่งใจ การตริตรอง การอนุโมทนา ความอดทน ตลอดจนการปล่อยวาง...เพราะทุกอย่างมันดำเนินไปตามเหตุและปัจจัย ซึ่งเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอนทุกประการ ดังคำว่า “ใครทำ ใครได้ มันเป็นผลเช่นนั้นแล”
ดังเหตุให้การปฏิบัตินั้นพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพื่อจะแสดงอานิสงส์ของบุตรเพื่อเลี้ยงมารดาบิดานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องพญานกแขกเต้า บรมโพธิสัตว์ เป็นอุทาหรณ์ ความว่า
ดังได้ยินมาแต่กาลก่อน พระบรมโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพญานกแขกเต้า อาศัยอยู่ป่าไม้งิ้ว แถบไหล่เขา วันหนึ่งพาบริวารไปหาอาหารยังป่าหิมพานต์ เพื่อเลี้ยงมารดาบิดาของตน ครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าโกสิยะพราหมณ์ อาศัยอยู่ในสาลิยะคาม พราหมณ์ได้ใช้บริวารไปหว่านข้าวสาลี ในเนื้อที่ประมาณ ๗๐๐๐ ไร่ แล้วให้บริวารอยู่รักษา พระโพธิสัตว์ก็พาบริวารไปลงในนาของโกสิยะพราหมณ์ ฝูงนกแขกเต้าทั้งหลาย กินอิ่มแล้วบินมาแต่ปากเปล่า ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้ากินแล้วก็คาบรวงข้าวมาเลี้ยงมารดาบิดาทุกๆ วัน บุรุษที่รักษานาข้าวสาลี จึงไปบอกแก่โกสิยะพราหมณ์ พราหมณ์ก็สั่งให้จับพญานกแขกเต้าทั้งเป็น อย่าฆ่าให้ตาย บุรุษผู้รักษานาก็ทำบ่วงแล้วดักพระโพธิสัตว์ จับพระโพธิสัตว์ได้ มัดมาให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์จึงไต่ถามว่า ดูกรท่านผู้เป็นปักษี ท่านมาคาบรวงข้าวสาลีของเราไปทุกๆ วัน ท่านมีความโกรธเคืองเราหรือๆ ท่านนำไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้เป็นประการใด
พระโพธิสัตว์จึงแจ้งว่า เรามิได้โกรธเคืองท่าน ยุ้งฉางสำหรับใส่ก็ไม่มี เรานำข้าวสาลีของท่านไปเพราะเหตุ ๓ ประการ คือ ๑. เอาไปใช้หนี้เก่า ๒. เอาไปฝังไว้ ๓. เอาไปให้เขายืม
พราหมณ์จึงถามว่า เอาไปใช้หนี้เก่าก็ดี เอาไปฝังไว้ก็ดี เอาไปให้เขายืมก็ดี ท่านทำอย่างไร? พระโพธิสัตว์บอกว่า เอาไปใช้หนี้เก่า นั้นคือเอาไปเลี้ยงมารดาบิดาที่ชราหากินไม่ได้ ท่านเลี้ยงเรามาไว้เติบใหญ่ เหมือนหนึ่งเป็นเจ้าหนี้เราควรเลี้ยงดูท่านเหมือนเป็นลูกหนี้ เพราะฉะนั้น เราจึงคาบรวมข้าวสาลีไปให้แก่มารดาบิดาทุกวัน เอาไปฝังไว้ นั้นคือไปให้นกทั้งหลายที่เจ็บไข้ และมีขนปีกยังอ่อนหากินไม่ได้ ให้เป็นทานการกุศล เอาไปให้เขายืม นั้นคือเอาไปให้ลูกยังอยู่ในรังยังหากินไม่ได้ นานไปเขาโตใหญ่ เขาจะเลี้ยงเราเมื่อแก่ชรา พราหมณ์ทราบดังนั้น มีความโสมนัสยินดี แก่พระโพธิสัตว์ว่า นับแต่นี้ไป เราจะมอบนาข้าวสาลีให้ท่าน จงพาบริวารมากินเถิด แล้วแก้เชือกที่มัดเท้าออกให้ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็รู้จักประมาณ รับเอาเพียงเนื้อที่ ๘ ไร่เท่านั้น แล้วให้โอวาทแก่พราหมณ์ ให้ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต ลงพราหมณ์ไปสู่ป่าไม้งิ้วอันเป็นที่อยู่แห่งตน
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การเลี้ยงมารดาบิดานั้น เป็นมงคล คือ เป็นความดีสำหรับผู้ปฏิบัติ ดังเช่นพระยานกแขกเต้า ได้รับนาข้าวสาลีจากพราหมณ์ ไม่ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์ คือ ผู้รู้ ดังเช่นพญานกแขกเต้าได้รับการสรรเสริญจากโกสิยะพราหมณ์ เป็นเหตุทำตนให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เหมือนพญานกแขกเต้าได้รับอิสระ พ้นจากเครื่องพันธนาการของพราหมณ์
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายหญิงชายที่เกิดมาจงอย่าได้ประมาท จงปฏิบัติมารดาบิดาให้มีความสุข ทั้งส่วนที่เป็นอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา เพราะเหตุว่ามารดาบิดา เป็นผู้มีคุณมาก จะเอาแผ่นดินและน้ำ ท้องฟ้าอากาศและเขาสุเมรุราช มาชั่งด้วยคุณมารดาบิดาเบากว่า และยังชื่อว่าผู้ปฏิบัติย่อมได้รับประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย
แข่งบุญวาสนาเราแข่งกันไม่ได้ ภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงษ์ ยามบุญลงหงษ์เป็นกาหน้าฉงน น้ำไม่เซาะเกาะไม่พังพึงวังวน วิสัยผลที่จะผลิตเพราะเหตุมี ดังคำพังเพยที่กล่าวว่า เวลาบุญมา ปัญญาก็ช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก เวลาบุญไม่มา ปัญญาก็ไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย สิ่งทั้งหมดที่มันปรากฏการณ์อยู่แก่ตัวเราในปัจจุบัน มันเป็นผลที่ไหลมาจาเหตุจากภพก่อนทั้งนั้น สมดังคำพระอัสสชิเถระกล่าวแก่อุปติสสะมาณพว่า เยธมฺมาเหตุปพฺพวา เตสํเหตุ ํ ตถาคตโต ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาจากเหตุ คือ มีเหตุเป็นแดนเกิด
“ส่วนบุตรคนใด ทำให้มารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา ให้มารดาบิดาผู้มีทุศีลสมาทานตั้งมั่นในสีลสัมปทา ให้บิดามารดาผู้มีความตระหนี่สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ให้มารดาบิดาผู้ทรามปัญญา สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านั้น และบุตรย่อมชื่อว่าเป็นผู้อันกระทำตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดาแล้ว”
ขอบเขตของโครงการ “กองทุนคุณบิดามารดา” มีดังต่อไปนี้
1.สร้างวิหารทาน พระพุทธรูป องค์เทพ ฯลฯ
2.พิมพ์หนังสือธรรมะ,หนังสือปฏิบัติกรรมฐาน ฯลฯ
3.ร่วมบวชการเล่าเรียนพระสามเณร และเด็กเรียนด้อยโอกาส
4.ค่ารักษาพยาบาลสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยยากไร้ ฯลฯ
5.ช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่เล็กและค่าอาหาร
6.ถวายสังฆทาน,โรงทาน,ชำระหนี้สงฆ์
7.ร่วมสร้างโรงพยาบาล,ซื้อที่ดินถวายเป็นพุทธบูชา ฯลฯ
8.อื่นๆ
จะสรุปยอดเงินทำบุญภายใน วันที่ 1-5 ของทุกเดือนเท่าไร และสรุปแจ้งการนำเงินไปร่วมบุญในโครงการต่างๆภายใน วันที่ 25-30 ของทุกเดือน จะพยายามๆเคลียร์ยอดคงเหลือให้เท่ากับศูนย์ครับ
กองทุนคุณบิดามารดา
“พระอรหันต์ พระพรหม ครู ญาติ เพื่อนของลูก”
ร่วมทำบุญเดือน 100 บาทหรือตามกำลังศรัทธา
การจัดตั้งกองทุน “คุณบิดามารดา” นี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่จะตอบแทนพระคุณบิดามารดา ที่มีมากมายนับประมาณมิได้จนไม่สามารถทดแทนกันได้หมดสิ้น โดยนำปัจจัยที่ทุกท่านเสียสละไม่มากก็น้อยตามกำลังตามความสามารถทุกท่าน ไปร่วมทำบุญสร้างกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ มากน้อยก็เฉลี่ยกันไปในแต่ละครั้ง
ซึ่งทุกท่านสามารถร่วมทำบุญเพื่อเป็นเสบียงกรังให้ท่านทั้งสอง มีความพร้อมขณะยังดำรงหรือละธาตุขันธ์ไปแล้ว และส่งมอบท่านไปจนชีวิตตัวเราจะหาไม่ การสร้าง”ทานบารมี”นั้นสามารถพัฒนายกภูมิขึ้นไปสู่แห่งการ”พ้นทุกข์”ได้ครับ เพราะทานเป็นการเสียสละ การยับยั่งชั่งใจ การตริตรอง การอนุโมทนา ความอดทน ตลอดจนการปล่อยวาง...เพราะทุกอย่างมันดำเนินไปตามเหตุและปัจจัย ซึ่งเป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอนทุกประการ ดังคำว่า “ใครทำ ใครได้ มันเป็นผลเช่นนั้นแล”
ดังเหตุให้การปฏิบัตินั้นพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพื่อจะแสดงอานิสงส์ของบุตรเพื่อเลี้ยงมารดาบิดานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องพญานกแขกเต้า บรมโพธิสัตว์ เป็นอุทาหรณ์ ความว่า
ดังได้ยินมาแต่กาลก่อน พระบรมโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพญานกแขกเต้า อาศัยอยู่ป่าไม้งิ้ว แถบไหล่เขา วันหนึ่งพาบริวารไปหาอาหารยังป่าหิมพานต์ เพื่อเลี้ยงมารดาบิดาของตน ครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าโกสิยะพราหมณ์ อาศัยอยู่ในสาลิยะคาม พราหมณ์ได้ใช้บริวารไปหว่านข้าวสาลี ในเนื้อที่ประมาณ ๗๐๐๐ ไร่ แล้วให้บริวารอยู่รักษา พระโพธิสัตว์ก็พาบริวารไปลงในนาของโกสิยะพราหมณ์ ฝูงนกแขกเต้าทั้งหลาย กินอิ่มแล้วบินมาแต่ปากเปล่า ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้ากินแล้วก็คาบรวงข้าวมาเลี้ยงมารดาบิดาทุกๆ วัน บุรุษที่รักษานาข้าวสาลี จึงไปบอกแก่โกสิยะพราหมณ์ พราหมณ์ก็สั่งให้จับพญานกแขกเต้าทั้งเป็น อย่าฆ่าให้ตาย บุรุษผู้รักษานาก็ทำบ่วงแล้วดักพระโพธิสัตว์ จับพระโพธิสัตว์ได้ มัดมาให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์จึงไต่ถามว่า ดูกรท่านผู้เป็นปักษี ท่านมาคาบรวงข้าวสาลีของเราไปทุกๆ วัน ท่านมีความโกรธเคืองเราหรือๆ ท่านนำไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้เป็นประการใด
พระโพธิสัตว์จึงแจ้งว่า เรามิได้โกรธเคืองท่าน ยุ้งฉางสำหรับใส่ก็ไม่มี เรานำข้าวสาลีของท่านไปเพราะเหตุ ๓ ประการ คือ ๑. เอาไปใช้หนี้เก่า ๒. เอาไปฝังไว้ ๓. เอาไปให้เขายืม
พราหมณ์จึงถามว่า เอาไปใช้หนี้เก่าก็ดี เอาไปฝังไว้ก็ดี เอาไปให้เขายืมก็ดี ท่านทำอย่างไร? พระโพธิสัตว์บอกว่า เอาไปใช้หนี้เก่า นั้นคือเอาไปเลี้ยงมารดาบิดาที่ชราหากินไม่ได้ ท่านเลี้ยงเรามาไว้เติบใหญ่ เหมือนหนึ่งเป็นเจ้าหนี้เราควรเลี้ยงดูท่านเหมือนเป็นลูกหนี้ เพราะฉะนั้น เราจึงคาบรวมข้าวสาลีไปให้แก่มารดาบิดาทุกวัน เอาไปฝังไว้ นั้นคือไปให้นกทั้งหลายที่เจ็บไข้ และมีขนปีกยังอ่อนหากินไม่ได้ ให้เป็นทานการกุศล เอาไปให้เขายืม นั้นคือเอาไปให้ลูกยังอยู่ในรังยังหากินไม่ได้ นานไปเขาโตใหญ่ เขาจะเลี้ยงเราเมื่อแก่ชรา พราหมณ์ทราบดังนั้น มีความโสมนัสยินดี แก่พระโพธิสัตว์ว่า นับแต่นี้ไป เราจะมอบนาข้าวสาลีให้ท่าน จงพาบริวารมากินเถิด แล้วแก้เชือกที่มัดเท้าออกให้ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็รู้จักประมาณ รับเอาเพียงเนื้อที่ ๘ ไร่เท่านั้น แล้วให้โอวาทแก่พราหมณ์ ให้ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต ลงพราหมณ์ไปสู่ป่าไม้งิ้วอันเป็นที่อยู่แห่งตน
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การเลี้ยงมารดาบิดานั้น เป็นมงคล คือ เป็นความดีสำหรับผู้ปฏิบัติ ดังเช่นพระยานกแขกเต้า ได้รับนาข้าวสาลีจากพราหมณ์ ไม่ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์ คือ ผู้รู้ ดังเช่นพญานกแขกเต้าได้รับการสรรเสริญจากโกสิยะพราหมณ์ เป็นเหตุทำตนให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เหมือนพญานกแขกเต้าได้รับอิสระ พ้นจากเครื่องพันธนาการของพราหมณ์
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายหญิงชายที่เกิดมาจงอย่าได้ประมาท จงปฏิบัติมารดาบิดาให้มีความสุข ทั้งส่วนที่เป็นอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา เพราะเหตุว่ามารดาบิดา เป็นผู้มีคุณมาก จะเอาแผ่นดินและน้ำ ท้องฟ้าอากาศและเขาสุเมรุราช มาชั่งด้วยคุณมารดาบิดาเบากว่า และยังชื่อว่าผู้ปฏิบัติย่อมได้รับประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย
แข่งบุญวาสนาเราแข่งกันไม่ได้ ภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงษ์ ยามบุญลงหงษ์เป็นกาหน้าฉงน น้ำไม่เซาะเกาะไม่พังพึงวังวน วิสัยผลที่จะผลิตเพราะเหตุมี ดังคำพังเพยที่กล่าวว่า เวลาบุญมา ปัญญาก็ช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก เวลาบุญไม่มา ปัญญาก็ไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย สิ่งทั้งหมดที่มันปรากฏการณ์อยู่แก่ตัวเราในปัจจุบัน มันเป็นผลที่ไหลมาจาเหตุจากภพก่อนทั้งนั้น สมดังคำพระอัสสชิเถระกล่าวแก่อุปติสสะมาณพว่า เยธมฺมาเหตุปพฺพวา เตสํเหตุ ํ ตถาคตโต ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาจากเหตุ คือ มีเหตุเป็นแดนเกิด
“ส่วนบุตรคนใด ทำให้มารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา ให้มารดาบิดาผู้มีทุศีลสมาทานตั้งมั่นในสีลสัมปทา ให้บิดามารดาผู้มีความตระหนี่สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ให้มารดาบิดาผู้ทรามปัญญา สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านั้น และบุตรย่อมชื่อว่าเป็นผู้อันกระทำตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดาแล้ว”
ขอบเขตของโครงการ “กองทุนคุณบิดามารดา” มีดังต่อไปนี้
1.สร้างวิหารทาน พระพุทธรูป องค์เทพ ฯลฯ
2.พิมพ์หนังสือธรรมะ,หนังสือปฏิบัติกรรมฐาน ฯลฯ
3.ร่วมบวชการเล่าเรียนพระสามเณร และเด็กเรียนด้อยโอกาส
4.ค่ารักษาพยาบาลสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยยากไร้ ฯลฯ
5.ช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่เล็กและค่าอาหาร
6.ถวายสังฆทาน,โรงทาน,ชำระหนี้สงฆ์
7.ร่วมสร้างโรงพยาบาล,ซื้อที่ดินถวายเป็นพุทธบูชา ฯลฯ
8.อื่นๆ
จะสรุปยอดเงินทำบุญภายใน วันที่ 1-5 ของทุกเดือนเท่าไร และสรุปแจ้งการนำเงินไปร่วมบุญในโครงการต่างๆภายใน วันที่ 25-30 ของทุกเดือน จะพยายามๆเคลียร์ยอดคงเหลือให้เท่ากับศูนย์ครับ
พระยามัจจุราช
คำอธิษฐานถวายคุณบิดามารดา
ด้วยผลบุญอานิสงส์อันใดทุกประการ ขอตั้งถวายเป็น “พุทธบูชา” และขอผลดังกล่าวนำพาอานิสงส์ที่จะกล่าวในบัดนี้ มีผลดลบันดาลถึงแก่ บิดามารดาให้ชาติปัจจุบัน บิดามารดาในอดีตทุกภพทุกชาติ ตลอดจนครูบาอาจารย์ผู้ที่มีพระคุณทุกท่าน
1. ความทุกข์ทรมาน อันเกิดแต่โรคร้าย ภัยอันตรายต่างๆ เกิดจากธรรมชาติเกิดจากกรรม ที่จะทำให้เกิดทุกข์เวทนาในกาย วาจาใจนี้ ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ขอจงผ่อนปรนเบาบาง อย่าได้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน ถ้าถึงกาละเวลาขอให้ไปอย่างสงบมีสติมีบุญกุศลห่อหุ้มไว้ ณ.พระบาทองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2. ความทุกข์ทรมานเวทนา ทั้ง กาย วาจา ใจ ที่เกิดจากคุณไสยคุณผี คุณคนการกระทำยำยีตอกมัด ร้อยรัดตรึง ทั้งคำสาปแช่ง บ่วงทุกข์บ่วงมาร จงเสื่อมจงสลายมลายไปสิ้นและจงอย่าได้มาแผ้วพานอีกเลย
3.ขอให้มีที่พักที่อยู่ที่อาศัยเป็นแหล่งพักพิงของตนเอง และเมื่อละสังขารบังเกิดมีทิพย์วิมานอันบรมสุข มีความร่มรื่นเย็นกายเย็นใจสว่างไสวถึงบริวารทั้งหลาย
4.. ขอให้เป็นผู้ระลึกและปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ในบุญ ศีล สมาธิ ปัญญา ในจิตวิญาณขันธสันดาน เป็นองค์บาทฐานแห่งการพ้นทุกข์เบื้องต้นจนกระทั่งถึงเบื้องปลาย และได้พบเกื้อกูลกับมหาปูชนียาจารย์ และธรรมใดที่ท่านบรรลุก็จะบรรลุตามอย่างท่านได้โดยง่ายที่สุด
5.ถ้ายังมีเหตุขอกลับมาเกิดภายใต้ขอบเขตพระขันธสีมาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไป มีกาย วาจา ใจ ครบอาการทั้ง 32 ประการ ปราศจากการเบียดเบียนจากสัตว์ทั้งหลายและเจ้ากรรมนายเวร เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติอันงดงามปราศโรคาจนสิ้นอายุขัย
6. ขอคำว่าไม่มี ไม่สำเร็จ ไม่สมบูรณ์ ความล่าช้า อย่าได้บังเกิดขึ้น ขอให้ปลดเปลื้อง พันธะการภาระผูกพัน ไม่มีหนี้สิน มีสัมมาอาชีพที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ มีความคล่องตัวในการทำมาหากิน มีกินมีเก็บมีใช้ ถึงฐานะมหาเศรษฐีพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติอันมากมายอันเป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่าทำประโยชน์ได้ทั้งทางโลกทางธรรมในกาลนั้นๆ
พระพุทธะ เมตตา อโหสิ กรรม สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
...................
คำอธิษฐานถวายคุณบิดามารดา
ด้วยผลบุญอานิสงส์อันใดทุกประการ ขอตั้งถวายเป็น “พุทธบูชา” และขอผลดังกล่าวนำพาอานิสงส์ที่จะกล่าวในบัดนี้ มีผลดลบันดาลถึงแก่ บิดามารดาให้ชาติปัจจุบัน บิดามารดาในอดีตทุกภพทุกชาติ ตลอดจนครูบาอาจารย์ผู้ที่มีพระคุณทุกท่าน
1. ความทุกข์ทรมาน อันเกิดแต่โรคร้าย ภัยอันตรายต่างๆ เกิดจากธรรมชาติเกิดจากกรรม ที่จะทำให้เกิดทุกข์เวทนาในกาย วาจาใจนี้ ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ขอจงผ่อนปรนเบาบาง อย่าได้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน ถ้าถึงกาละเวลาขอให้ไปอย่างสงบมีสติมีบุญกุศลห่อหุ้มไว้ ณ.พระบาทองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2. ความทุกข์ทรมานเวทนา ทั้ง กาย วาจา ใจ ที่เกิดจากคุณไสยคุณผี คุณคนการกระทำยำยีตอกมัด ร้อยรัดตรึง ทั้งคำสาปแช่ง บ่วงทุกข์บ่วงมาร จงเสื่อมจงสลายมลายไปสิ้นและจงอย่าได้มาแผ้วพานอีกเลย
3.ขอให้มีที่พักที่อยู่ที่อาศัยเป็นแหล่งพักพิงของตนเอง และเมื่อละสังขารบังเกิดมีทิพย์วิมานอันบรมสุข มีความร่มรื่นเย็นกายเย็นใจสว่างไสวถึงบริวารทั้งหลาย
4.. ขอให้เป็นผู้ระลึกและปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ในบุญ ศีล สมาธิ ปัญญา ในจิตวิญาณขันธสันดาน เป็นองค์บาทฐานแห่งการพ้นทุกข์เบื้องต้นจนกระทั่งถึงเบื้องปลาย และได้พบเกื้อกูลกับมหาปูชนียาจารย์ และธรรมใดที่ท่านบรรลุก็จะบรรลุตามอย่างท่านได้โดยง่ายที่สุด
5.ถ้ายังมีเหตุขอกลับมาเกิดภายใต้ขอบเขตพระขันธสีมาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไป มีกาย วาจา ใจ ครบอาการทั้ง 32 ประการ ปราศจากการเบียดเบียนจากสัตว์ทั้งหลายและเจ้ากรรมนายเวร เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติอันงดงามปราศโรคาจนสิ้นอายุขัย
6. ขอคำว่าไม่มี ไม่สำเร็จ ไม่สมบูรณ์ ความล่าช้า อย่าได้บังเกิดขึ้น ขอให้ปลดเปลื้อง พันธะการภาระผูกพัน ไม่มีหนี้สิน มีสัมมาอาชีพที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ มีความคล่องตัวในการทำมาหากิน มีกินมีเก็บมีใช้ ถึงฐานะมหาเศรษฐีพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติอันมากมายอันเป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่าทำประโยชน์ได้ทั้งทางโลกทางธรรมในกาลนั้นๆ
พระพุทธะ เมตตา อโหสิ กรรม สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
...................